ชีวิตจริงยิ่งกว่าละครของสองแม่ลูก น.ส.น้ำฝน หลวงปราบ วัย 34 ปี เป็นผู้พิการต้องตัดขารักษาชีวิตตั้งแต่อายุ 21 ปี จากผลกระทบของอุบัติเหตุตอนอายุ 14 ปี โดยขณะนั้น น้องโชกุน นายเกรียงไกร เรืองศิลป์ ลูกชายของ น.ส.น้ำฝน เพิ่งอายุ 1 ขวบ 2 เดือน ซึ่งปัจจุบันอายุ 15 ปี แล้ว โดยแม่ลูกคู่นี้ต้องเก็บเสื้อผ้าหนีออกจากบ้านที่ จ.ระนอง เพราะทนสามีและพ่อของลูกทำร้ายร่างกายไม่ไหว จึงต้องหนีไปตายเอาดาบหน้า ซึ่งลูกชายวัย 6 ขวบ ในขณะนั้นเป็นคนชวน
ครั้งนั้นน้องโชกุน ที่อายุเพียง 6 ขวบ บอกกับแม่ว่า ถ้าเราอยู่ตรงนั้นเราก็ตาย สู้หนีออกมาเสี่ยงดาบหน้าดีกว่า รอดไม่รอดก็แล้วแต่ชะตากรรม จึงเก็บเสื้อผ้าไว้รอแม่ เมื่อได้โอกาสก็หนีออกจากบ้านมาพร้อมกับเสื้อผ้าเป็นกระเป๋า 3 ใบ แต่เงินติดตัวสำหรับค่ารถโดยสารเดินทางไปที่ จ.ภูเก็ต เพื่อไปหาเพื่อนของแม่ แต่เมื่อไปถึงก็ติดต่อเพื่อนไม่ได้ อาศัยนอนอยู่ที่ บ.ข.ส. 4 วัน ก่อนจะพาลูกเร่ร่อนหางาน ของานทำแลกข้าว บางครั้งต้องคุ้ยถังขยะหาของกิน
น.ส.น้ำฝน บอกว่า เดินไปของาน เดินไปไปเรื่อยๆ ขอเขากินบ้าง คุ้ยถังขยะหาของกินบ้าง
ด้านน้องโชกุน เล่าว่า วันนั้นหิว แม่ก็หิว ตนก็หิว แล้วก็ตอนนั้นนั่งอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ จากนั้นก็มีพนักงานเอาของที่หมดอายุมาทิ้งถังขยะด้านหน้า แม่จึงพาไปคุ้ย ก็ได้ข้าวกล่อง ข้าวเหลือๆมากินกัน แต่แม่ก็ให้ตนกินคนเดียว
จากนั้นสองแม่ลูกก็ระหกระเหินเร่ร่อนหางานทำไปเรื่อย ค้นหางานจากอินเทอร์เน็ต ที่ไหนรับคนพิการทำก็จะไป เป้าหมายคือเป็นแม่บ้าน และทำสวน จาก จ.ภูเก็ต ก็ไล่มาที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ต่อด้วย จ.จันทบุรี กระทั่งปัจจุบันปักหลักที่ จ.ชลบุรี ซึ่งชีวิตล้มลุกคลุกคลานมาตลอด ตรงไหนที่เขาบอกมีงานที่รับก็ไปไปหมดทุกที่ แต่ส่วนมากถ้าไม่โดนโกง ก็ทำงานฟรี ซึ่งตัดสินใจปักหลักที่ จ.ชลบุรี เพราะเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวเยอะ คิดว่าโอกาสที่จะได้งานก็น่าจะมีมาก จึงกัดฟันสู้สักตั้ง
ระหว่างอยู่ที่ จ.ชลบุรี ก็หางานแม่บ้านและงานโรงงาน ยังคงพาลูกเร่ร่อนนอนข้างถนน อดมื้อกินมื้อ จนมีผู้ใจบุญให้มาเช่าห้องพักเล็กๆ เลขที่ 34/2 ม.2 ต.โป่ง อ.บางละมุง เดือนละ 2,500 บาท สามารถผ่อนชำระได้ เจ้าของไม่เร่งรัด ส่วนลูกชายเป็นคนขยัน ทำงานก่อสร้างแบกปูนตั้งแต่อายุ 12 ปี แต่ชีวิตเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เพราะผู้เป็นแม่ที่เป็นคนพิการกลับต้องป่วยเพิ่มหลังได้งานทำที่โรงงาน เป็นทั้งเบาหวาน ก้อนเนื้อที่เต้านม และสะเก็ดเงิน จนร่างกายไม่ไหว ต้องออกจากงาน ภาระจึงตกที่ลูก ซึ่งต้องทำงานทั้งก่อสร้าง ร้านซ่อมรถ ร้านหมูกระทะ ส่วน น.ส.น้ำฝนเก็บขวดขาย เพื่อช่วยลูกหารายได้เสริม จากนั้นก็เริ่มซื้อรถจักรยานยนต์พ่วงข้าง มาเร่ขายผลไม้ตามฤดูกาล แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เจ๊ง ขายไม่ได้ ผลไม้ก็เน่า จนลูกชายที่เข้มแข็งมาตลอด เผยความท้อและเหนื่อยให้เห็น ชวนแม่ฆ่าตัวตาย
อย่างไรก็ตามผู้เป็นแม่ก็ปลอบ บอกให้สู้ และเข้มแข็งต่อไป ทำให้น้องโชกุนมีสติ และสัญญาว่าจะไม่คิดแบบนี้อีก และจะไม่ย่อท้อ ไม่ร้องไห้อีกต่อไป จะตั้งใจหาเงินมาดูแลแม่ให้ดีที่สุด กระทั่งช่วงโควิด-19 ระบาด ทำให้กิจการต่างๆปิด มีคนบริจาคเสื้อยืดสีขาวให้ เอาไปขายก็ไม่มีคนซื้อ เพราะเปื้อนง่าย น้องโชกุนจึงเลื่อนดูยูทูป เห็นคลิปวิดีโอของคนต่างชาติทำผ้ามัดย้อม จึงนำมาทำตาม พลิกแพลงทำด้วยตัวเอง แรกๆเสียไปหลายตัว แต่พอไปนานๆก็เริ่มสวย จึงโพสต์ขายในเฟซบุ๊ก ปรากฏว่าขายได้ ทำให้รู้สึกดีใจและขายได้ประมาณ 3-4 เดือนแล้ว ส่วนใหญ่จะรับออเดอร์จากลูกค้าที่สั่งผ่านเพจเฟซบุ๊ก
น้องโชกุนอธิบายว่าขายเสื้อมัดย้อมตัวละ 100 บาท เพราะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น เนื่องจากก่อนหน้านี้เสื้อมีคนบริจาค จึงทำขายตัวละ 60 บาท แต่ตอนนี้ซื้อเองจึงต้องมีการปรับราคา และฝันว่าอยากจะทำเสื้อขายเป็นแบรนด์ของตัวเอง
ทั้งนี้ทั้งสองแม่ลูกยังมีความฝันอีกว่า หากในอนาคตมีเงินทุนสักก้อน อยากจะเปิดร้านข้าวแกงเล็กๆ หากใครไม่มีเงินซื้อกินก็จะให้กินฟรีจนอิ่ม เพราะมีปมฝังใจตอนที่เร่ร่อนไม่มีเงินซื้อข้าวกิน เข้าใจว่ามันทุกข์ทรมานแค่ไหนเวลาหิว ส่วนน้องโชกุนเองก็อยากเรียนให้จบปริญญาตรี ตอนนี้อาศัยเรียน กศน. ใกล้จะจบ ป.6 เพราะจะได้มีเวลาทำงาน ทำเสื้อมัดย้อมขาย รวมทั้งรายได้พิเศษอย่างอื่น โดยเฉพาะการดูแลแม่ที่พิการและมีโรคประจำตัว ไม่อยากทิ้งแม่ไว้คนเดียวนานๆ
ขอขอบคุณ https://news.ch7.com/detail/449939