ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.)
“บิ๊กก้อง” ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เปิดเผยว่า ตอนนี้นักกีฬาของไทยเตรียมจะต้องเดินทางไปแข่งขันเพื่อควอลิฟายไปสู่กีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งตอนนี้มีหลายสมาคมฯ ที่เริ่มแจ้งเข้ามาแล้วว่าจะต้องเดินทางไปแข่งขัน ทั้งเทควันโด, บาสเกตบอล รวมถึงกีฬาคนพิการเองก็มีโปรแกรมที่จะต้องคัดเลือกไปพาราลิมปิกเกมส์ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามด้วยเวลาการแข่งขันที่กระชั้นชิด มีการหารือในส่วนของการกักตัวหลังจากกลับมาจากการแข่งขันอีก โดยเฉพาะในส่วนของนักกีฬาคนพิการที่จะต้องเข้าสเตทควอรันทีนนั้น จะต้องหามาตรการรองรับเนื่องจากที่พักต่าง ๆ ไม่ได้รองรับสำหรับคนพิการเอาไว้
ผู้ว่าการกกท. กล่าวต่อว่า ส่วนการจัดการแข่งขันกีฬาอื่น ๆ ในประเทศ ที่เริ่มกลับมาจัดได้หลังจากศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เริ่มปลดล็อคแล้วนั้น เร็ว ๆ นี้จะมีการแข่งขันจักรยานทัวร์ออฟไทยแลนด์ ซึ่งจากที่ดูมาตรการก็จะทำคล้าย ๆ รูปแบบบับเบิลเหมือนกับที่แบดมินตันทำมา แต่จะต้องไปหารือกับศบค.อีกครั้ง เพราะว่าแต่ละจังหวัดตอนนี้มีมาตรการที่เข้มข้นไม่เหมือนกันในแต่ละจังหวัด ดังนั้นจะต้องดูมาตรการสำหรับแต่ละจังหวัดอีกครั้งในการจัดการแข่งขัน
ผู้สื่อข่าวสอบถามว่า กรณีที่ทางสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เตรียมทำเรื่องเสนอตัวเป็นสนามกลางเพื่อจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 2 ในเดือนมิถุนายนนี้นั้น ดร.ก้องศักด กล่าวว่า ตอนนี้ทางสมาคมฯ ยังไม่ได้ทำเรื่องข้อเรียกร้องอย่างเป็นทางการหรือขอการสนับสนุนใด ๆ
ดร.ก้องศักด กล่าวปิดท้ายว่า อย่างไรก็ตามทางกกท.เองก็มีสนามให้สมาคมฯ สามารถเลือกใช้ได้ทุกสนามทั้งส่วนกลางและภูมิภาค เพราะว่ากกท.เคยปรับปรุงไปแล้วตั้งแต่ตอนการแข่งขันเอเอฟซี ยู-23 ชิงแชมป์เอเชีย ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ทั้งราชมังคลากีฬาสถาน, สนามสมโภช 700 ปี จ.เชียงใหม่ รวมถึงสนามเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.นครราชสีมา ถ้าหากมีการร้องขอมา แต่เป็นไปได้น่าจะเป็นการจัดแข่งขันในจังหวัดเดียวมากกว่า เพราะว่าง่ายต่อการควบคุม