ผู้พิการทางสติปัญญา หมายถึง ภาวะที่เด็กมีความบกพร่องด้านสติปัญญาหรือการเรียนรู้ ทำให้เกิดข้อจำกัดในการปรับตัวเพื่อดำเนินชีวิตประจำวัน ปัจจุบันนิยมใช้คำว่า ‘บกพร่องทางสติปัญญา’ แทน ‘ภาวะปัญญาอ่อน’
ภาวะบกพร่องทางสติปัญญานั้นทำให้พัฒนาการในหลาย ๆ ด้านล่าช้ากว่าคนทั่วไป ซึ่งความล่าช้านี่ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงทางการบกพร่อง ซึ่งจะสามารถแบ่งได้ ดังนี้
1.ภาวะบกพร่องทางสติปัญญาระดับรุนแรงมาก จะพบความผิดปกติได้ในช่วงขวบปีแรก มีพัฒนาการล่าช้า ต้องการความช่วยเหลือและดูแลตลอดเวลา
2.ภาวะบกพร่องทางสติปัญญาระดับรุนแรง มีพัฒนาการล่าช้าชัดเจนตั้งแต่เด็ก มีปัญหาด้านการสื่อสาร การดูแลตัวเอง หากได้รับการฝึกฝน เด็กอาจจะช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง
3.ภาวะบกพร่องทางสติปัญญาระดับปานกลาง มักพบการในช่วง 2-3 ขวบ หรือก่อนวัยเรียน สามารถช่วยเหลือตัวเองแบบง่าย ๆ ได้ จึงอาจเข้าเรียนได้ถึงชั้นประถมตอนต้น หากได้รับการศึกษาในระบบพิเศษ
4.ภาวะบกพร่องทางสติปัญญาระดับเล็กน้อย อาการมักปรากฏเมื่อเข้าวัยเรียนแล้ว ส่วนใหญ่จะศึกษาได้ถึงชั้นประถม6 หรือสูงกว่า สามารถทำงานและสมรสได้ อาจต้องการความช่วยเหลือในบางครั้งคราว
พฤติกรรมหรือความบกพร่องที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากความบกพร่องทางสติปัญญา
การให้ความช่วยเหลือเด็กบกพร่องทางสติปัญญา
แม้ว่าภาวะบกพร่องทางสติปัญญานั้นจะไม่สามารถรักษาให้หายขาด แต่สิ่งที่เราทำได้คือการคงสภาพและฟื้นฟูให้ผู้ป่วยสามารถช่วยเหลือตนเองได้ ดำเนินชีวิตได้ใกล้เคียงปกติ โดยที่ไม่เป็นภาระแก่ครอบครัวและสังคม
ผู้ปกครองควรให้การพัฒนาและฟื้นฟูเด็กป่วยให้ได้เร็วที่สุด โดยมีหัวใจหลัก คือ ‘การจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมต่อการเรียนรู้ของเด็ก’ เช่น การฝึกทักษะด้านการเขียน อ่านและฝึกควบคู่ไปกับกิจกรรมต่าง ๆ ที่อยู่ในความสนใจของเด็ก เช่น กีฬา ดนตรี สิ่งที่สำคัญ คือ ผู้ปกครองต้องยอมรับในสิ่งที่เด็กเป็น พร้อมทั้งให้ ความรัก ความเข้าใจและช่วยเหลือด้านการฟื้นฟูอย่างเหมาะสม
การฝึกทักษะด้านการสื่อสาร
การส่งเสริมด้านการเคลื่อนไหวพื้นฐาน
เป็นทักษะที่สำคัญต่อการพัฒนาด้านอื่น ๆ เช่น การช่วยเหลือตนเอง ซึ่งอาจจะมาจากข้อจำกัดทางความบกพร่องของสติปัญญา ผู้ฝึกจึงควรให้การกระตุ้นที่เหมาะสม เช่น เด็กที่มีปัญหาด้านสายตา ควรเน้นเรื่องการใช้เสียงและสัมผัส เด็กที่มีปัญหาด้านการได้ยินควรเน้นด้วยแสงสี โดยการพัฒนานั้นต้องเป็นไปอย่างเป็นลำดับขั้นและเหมาะสมกับศักยภาพของเด็กในช่วงเวลานั้น อาจจะเริ่มจากการช่วยให้เกิดการเคลื่อนไหวที่ถูกต้อง แล้วค่อย ๆ ลดการช่วยเหลือลง และในระหว่างการฝึก ผู้ฝึกควรบอกว่าสิ่งที่ทำอยู่คืออะไร และต้องการให้มีการตอบสนองอย่างไร
สิ่งที่ผู้พิการด้านสติปัญญาต้องการคือ ความรัก ความเข้าใจ อย่าไปดูถูกหรือเปรียบเทียบใด ๆ กับเด็กคนอื่น ๆ การต้องเป็นผู้ดูแลผู้ป่วยทางสติปัญญานั้นย่อมมีความท้อ มีความเครียด เชื่อว่าทั้งคนพิการเองทั้งผู้ดูแลต่างก็ต้องพยายามอย่างเต็มที่ จะวันนี้หรือวันพรุ่งนี้ก็ต้องเต็มที่กับมันนะคะ จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจภายหลัง