เปิดใจนักศึกษาพิการหัวใจแกร่ง “แนน-ทิพภาวรรณ พลล่องช้าง”

ชื่อของ “น้องแนน-ทิพภาวรรณ พลล่องช้าง” นักศึกษาหญิง ผู้พิการแขนและขา กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกคนทันที หลังสามารถคว้าเกรดเฉลี่ย 3.67 ซึ่งถือว่าสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งในระดับชั้นปี 3 สาขาการจัดการธุรกิจไซเบอร์ วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว.) 

เรื่องราวของนักศึกษาสาวพิการผู้นี้ สะท้อนให้เห็นว่าความบกพร่องทางด้านร่างกายไม่ใช่อุปสรรคต่อการดำรงชีวิต “การศึกษา ความมุ่งมั่นแรงกล้า และหัวใจไม่คิดยอมแพ้ต่างหากคือกุญแจนำทางสู่ความสำเร็จที่แท้จริง”

แนน เกิดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ.2538 ที่จังหวัดนครสวรรค์ หลังเรียนจบระดับชั้นอนุบาลที่สาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ พ่อแม่ส่งเข้าเรียนระดับชั้นประถม 1-2 ที่โรงเรียนศรีสังวาลย์ จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นมูลนิธิอนุเคราะห์คนพิการในพระราชูปถัมภ์ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เพื่อให้เธอสามารถดูแลตัวเองและใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างไร้ปัญหา ก่อนจะกลับมาเรียนต่อที่สาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์อีกครั้งจนกระทั่ง ม.3

“ตอนถูกส่งไปอยู่ประจำที่โรงเรียนศรีสังวาลย์ หนูร้องไห้ทุกวัน คิดถึงบ้าน ห่างพ่อ ห่างแม่ แต่ว่าไปแล้วที่นั่นเป็นเสมือนที่ปลูกฝังให้หนูรู้จักมองโลก มองสังคม ไม่ดราม่า นั่งเรียนกับเพื่อนที่เป็นออทิสติก มีพัฒนาการช้า ทำให้เราคิดได้ว่า มีอีกหลายคนที่ด้อยโอกาสกว่า หนูมีข้อจำกัดแค่ร่างกายเฉยๆ ไม่ได้มีปัญหาอะไรต่อการเรียนรู้เลย”

แนน ยิ้มหวานเล่าว่า ชีวิตในห้องเรียนสนุกสนานตามประสาเด็กๆ ทั่วไป เพื่อนร่วมห้องทุกคนน่ารัก ไม่มีใครดูถูกเหยียดหยาม รังแกเธออย่างที่ใครๆคิด

“เพื่อนล้อน่ะมีอยู่แล้ว แต่หนูไม่เคยถึงขนาดร้องไห้ หรือเก็บเอามาสร้างปัญหา เวลาเพื่อนล้อหนูก็เอาคืน วิ่งไปตีเพื่อนบ้างอะไรบ้างปกติเหมือนเด็กทั่วไป ยิ่งสมัยอนุบาลนี่สนุกมาก ไปถึงห้องก็ถอดขาเทียมวิ่งเล่นกับเพื่อนประจำ” หญิงสาวหัวเราะร่า

แนนเริ่มวางเป้าหมายชีวิตครั้งแรกช่วงมัธยมปลายที่โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ จ.นครสวรรค์ โดยฝันอยากเป็นหมอ แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ เนื่องจากร่างกายไม่ผ่านคุณสมบัติหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต

“เราตั้งใจเรียนสายวิทย์ – คณิต เพราะอยากเป็นหมอ หรืออาชีพอื่นๆ ในด้านการแพทย์ สุดท้ายเพิ่งรู้ว่าความพิการบกพร่องทางร่างกายของเราเป็นอุปสรรคต่อการศึกษาแพทย์ ตอนนั้นก็เสียดาย เสียใจ ท้อไปพักหนึ่ง พอความฝันเราโดนล้ม ช่วงนั้นเป๋เลย อยากเป็นไปซะทุกอย่าง ทั้งนักธุรกิจ ไกด์ ตอนหลังตั้งหลักได้ กลับมานั่งถามตัวเองว่า ‘เราชอบอะไร’ จนคิดได้ว่าเราชอบคอมพิวเตอร์”

ต่อมาหลังเรียนจบม.6 แนนตระเวนสมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัยหลายแห่ง แต่ปัญหาคือ คุณพ่อไม่อยากให้ลูกสาวเรียนไกลบ้าน เนื่องจากเกรงว่าจะตกระกำลำบาก สุดท้ายเธอก็ยกเหตุผลในการพัฒนาตัวเองให้คุณพ่อฟังจนได้เข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ ณ  วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม สาขาการจัดการธุรกิจไซเบอร์ มศว.

“ใจหนูก็กลัวพ่อจะมัดมือชกให้เรียนใกล้บ้าน เลยบอกพ่ออย่างจริงจังเลยว่า ถ้าสอบติด มศว. พ่อห้ามค้านหนูนะ สุดท้ายก็สอบติด เลือกสาขาการจัดการธุรกิจไซเบอร์  เพราชอบคณิตศาสตร์และคอมพิวเตอร์อยู่แล้ว คิดว่าเราจะไปได้ดีในสาขานี้”

เธอคิดถูกว่าตัวเองไปได้ดีในเส้นทางนี้ การันตีจากรางวัลเกรดเฉลี่ยสูงสุดของสาขาการจัดการธุรกิจไซเบอร์ ในระดับ

ั้นปี 3 ที่ 3.67 อันถือว่าสูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง

“หนูว่ามันเป็นทางของหนู เรียนแล้วมันใช่ สังคมดี เพื่อนดี น้องดี วิชาเรียนไม่วิชาการจ๋า ปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย ต้องแสวงหาความรู้นอกห้องเรียนเสมอ ส่วนใหญ่เน้นพวกธุรกิจและออนไลน์ ซึ่งเป็นช่องทางที่ค่อนข้างกว้างในอนาคต ส่วนความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ แรกๆ มีถนอมน้ำใจกันบ้าง เกรงใจ กลัวว่าเราไม่เหมือนคนอื่น กลัวเจ็บ แต่หลังๆ มันตบหัวหนูเลย” สาวน้อยกล่าวอย่างจริงใจพลางหัวเราะ

“หนูไม่เคยโดนดูถูกจังๆ ว่า อย่างเธอเป็นนั่นเป็นนี่ไม่ไหวหรอก แต่มันเป็นอารมณ์สงสารมากกว่า หลายคนมองว่าคนพิการไม่ต้องเรียนสูงหรอก จบ ม.6 ไปสมัครทำงานเป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์ก็พอแล้ว โหย เราได้ยินแล้วแบบ เฮ้ย..หนูต้องหยุดอยู่แค่ตรงนี้หรอ หนูว่าตัวเองมีดีกว่านั้นนะ เลยดิ้นรนที่จะพิสูจน์ตัวเองว่าเราทำได้มากกว่านี้ หลายคนเข้าใจว่าคนพิการทำอะไรไม่ค่อยได้ หรือบางคนอยากให้หนูเรียนบัญชี จบมาได้นั่งอยู่ออฟฟิศ ไม่ต้องไปไหน ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ แต่หนูไม่ชอบ” น้ำเสียงเธอหนักแน่น แววตาเด็ดเดี่ยว

แนนชอบท่องเที่ยวหรือค้นหาสิ่งใหม่ๆใส่สมองอยู่เสมอ แม้เป้าหมายตอนนี้ยังไม่ชัดเจน เธอยังลังเลว่าเมื่อจบปริญญาตรีจะเรียนต่อหรือทำงาน โดยมองว่าอาชีพในสายการเรียนของตัวเองสามารถต่อยอดไปได้กว้าง ตามแผนกเว็บไซต์ออนไลน์ที่กำลังเติบโตในธุรกิจทุกแขนง 

นอกจากเรียนหนังสือ ทำกิจกรรมนอกห้องเรียนแล้ว ปัจจุบันเธอยังทำงานพิเศษแลกทุนการศึกษาให้กับ โรงแรม สวูเทล (SWUTEL HOTEL) ของ ม.ศรีนคริทรวิโรฒ ในตำแหน่งพนักงานต้อนรับด้วยหนูได้รับทุน แต่ไม่ใช่ให้เปล่า ให้เงินแล้วไม่ทำอะไร หนูช่วยงานคณะ ติดต่อประสานงานตามกิจกรรมต่างๆ คือให้ทำอะไรก็ทำ นอกจากนี้ทางมหาลัยเรามีโรงแรม ที่อยู่ในส่วนของคณะสังคมศาสตร์ด้วย ซึ่งเขาก็ยินดีให้ไปช่วยงานแบบพาร์ทไทม์ ในตำแหน่งรีเซฟชัน ถือว่าทำตอบแทนมหา’ลัยที่ให้ทุนการศึกษาเรา” 

ทั้งนี้ สำหรับผู้พิการที่ต้องการความช่วยเหลือสามารถใช้โทรสายด่วน 1479 คนพิการประชารัฐ ที่ให้บริการตลอด 24 ชม. หรือรายละเอียดที่ www.1479hotline.org เพื่อเป็นการช่วยเหลือคนพิการที่อยู่ในความดูแลของมูลนิธิฯ ผู้มีจิตศรัทธาสามารถช่วยบริจาคเงินได้ที่ธนาคารกรุงเทพ สาขาบางละมุง ชื่อบัญชี มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ เลขที่บัญชี : 342-3-04066-0 นำใบเสร็จสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ โทร. 0-2572-4042 ต่อ 8106

ขอขอบคุณจาก https://www.posttoday.com/politic/report/451698

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *