บอร์ด สปสช.เห็นชอบ “ศูนย์บริการคนพิการทั่วไป” ร่วมเป็นสถานบริการสาธารณสุขอื่น เพิ่มการเข้าถึง-ลดความแออัด เตรียมจัดทำมาตรฐานกลาง กำหนดรายจ่ายบริการ
ที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข (สธ.) ในฐานะประธานบอร์ด สปสช. มีมติเห็นชอบให้ ศูนย์บริการคนพิการทั่วไป ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ให้การรับรอง และสถานบริการอื่นที่เข้าเกณฑ์ของ สปสช. เข้าร่วมเป็นสถานบริการสาธารณสุขอื่น ตามมาตรา 3 ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545
ขณะเดียวกัน ยังเห็นชอบให้จัดทำมาตรฐานบริการและมาตรฐานหน่วยบริการ สำหรับศูนย์บริการคนพิการทั่วไป รวมถึงกำหนดรายการจ่ายสำหรับบริการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แก่คนพิการเพิ่มเติม ที่สามารถใช้จ่ายจากกองทุนฟื้นฟูฯ ได้ พร้อมกับมอบสำนักงานดำเนินการตามข้อเสนอแนะ ของคณะอนุกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ และคณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้องต่อไป
สำหรับมติดังกล่าวมีที่มาจากสถานการณ์การเข้าถึงบริการของผู้พิการ ซึ่งผลสำรวจจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ในปี 2560 พบว่าจากจำนวนประชากรผู้พิการทั้งสิ้น 3.7 ล้านคน มีผู้ที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือหรือสวัสดิการของรัฐ ราว 7.8 แสนคน หรือ 21.2% ส่วนข้อมูลการเข้าถึงบริการจากฐานข้อมูลของ สปสช. เดือน มี.ค. 2562 พบว่าจากจำนวนคนพิการ 1 ล้านคน ได้รับบริการฟื้นฟูสมรรถภาพด้านการแพทย์ประมาณ 1.5 แสนคน
น.ส.สารี อ๋องสมหวัง กรรมหารหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ในฐานะอนุกรรมการส่งเสริมการมีส่วนร่วมฯ ระบุว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญ ที่จะช่วยสนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงบริการมากขึ้น โดยให้องค์กรภาคประชาสังคมและอาสาสมัคร เข้ามามีส่วนร่วม เช่นเดียวกับการดำเนินการเรื่องของรับยาที่ร้านยา ซึ่งขณะนี้เป็นข้อเสนอเรื่องของการให้ศูนย์บริการคนพิการทั่วไป เข้ามาเป็นสถานบริการสาธารณสุขอื่น
“ถ้าไปดูตัวเลขจะเห็นชัดเจนว่าคนพิการ มีการเข้าถึงบริการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคต่ำมาก ซึ่งคิดว่าการมีส่วนร่วมเหล่านี้จะช่วยสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลเอง โดยเฉพาะการลดความแออัด เพราะถ้าศูนย์คนพิการสามารถช่วยทำบริการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค น่าจะทำให้สถานพยาบาลต่างๆ ลดความแออัดลงได้ และทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการมากขึ้น” น.ส.สารี ระบุ
น.ส.สารี กล่าวว่า เรื่องต่อไปคือการกำหนดเกณฑ์กลาง เช่น ศูนย์บริการที่จะเข้าข่ายมาร่วมให้บริการนั้นต้องมีอะไรบ้าง ซึ่งในกรณีของร้านยานั้นอาจจะง่ายกว่าเพราะมีผู้ประกอบวิชาชีพเกี่ยวข้อง จึงสามารถดำเนินการได้เลย ขณะที่เรื่องนี้เป็นบริการที่อาจไม่มีผู้ประกอบวิชาชีพแต่มีผู้ให้บริการช่วยเหลืออยู่ จึงต้องมีการกำหนดหลักเกณฑ์ว่าองค์กรประเภทใดบ้างที่สามารถเป็นหน่วยบริการได้
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีการหารือถึงประเด็นการใช้อำนาจตามมาตรา 3 ที่สามารถกำหนดสถานบริการสาธารณสุขอื่นได้เอง แทนที่จะรอหน่วยงานอื่นเป็นผู้กำหนดมาตรฐาน เนื่องจากขณะนี้ได้รอการดำเนินงานมาเป็นระยะเวลานาน โดยมีการเสนอให้ตั้งคณะกรรมการเพื่อประมวลข้อมูลดูว่า ในส่วนขององค์กรภาคประชาชนที่ดูแลช่วยเหลือในเรื่องนี้ ปัจจุบันมีกี่กลุ่ม และแต่ละกลุ่มทำเรื่องอะไรไปบ้าง ก่อนกำหนดเกณฑ์มาตรฐานกลางอย่างรัดกุมรอบคอบ เพื่อให้ครอบคลุมและทั่วถึงแต่ละกลุ่มที่อาจมีลักษณะการให้บริการที่แตกต่างกัน
ด้าน นายอนุทิน กล่าวว่า เห็นด้วยกับการแก้ไขปัญหาที่ควรใช้กฎหมายหรือช่องทางในขอบข่ายอำนาจเท่าที่กระทรวงฯ มีอยู่ เช่น การจัดตั้งศูนย์บริการฯ ขึ้นมาก่อน ส่วนใดที่ต้องไปพึ่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานอื่น ค่อยเป็นเรื่องที่ว่ากันต่อไป คล้ายกับกรณีเรื่องของกัญชาที่พบว่าติดขัดปัญหาหลายส่วน สุดท้ายจึงได้ผลักดันผ่านช่องทางเท่าที่อยู่ในอำนาจ เรื่องของการแพทย์สมัยใหม่และแพทย์แผนไทย เป็นต้น
ทั้งนี้ การให้ศูนย์บริการคนพิการทั่วไป เข้าร่วมเป็นสถานบริการสาธารณสุขอื่น ตามมาตรา 3 ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 นั้น มีที่มาจากข้อเสนอที่ได้จากการเปิดรับฟังความคิดเห็นเครือข่ายคนพิการปี 2561 จนนำไปสู่การมีมติบอร์ด สปสช.ครั้งนี้
ขอบคุณข้อมูลจาก http://nhsonews.com/index.php/news/content/673