เร่งช่วยกลุ่มเปราะบาง – จากวิกฤตโควิด – 19 ล่าสุด สหประชาชาติรายงานการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจของโควิด – 19 ต่อประเทศไทย ระบุว่าอัตราการว่างงานในกลุ่มผู้หญิงจะสูงถึง ร้อยละ 4.5 ในขณะที่อัตราการว่างงานโดยรวมจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.1 สำหรับทั้งปี 2563 ซึ่งในระหว่างปีการว่างงานจะเพิ่มสูงกว่านี้ โดยเฉพาะในกลุ่มแรงงานนอกระบบ
นอกจากนี้ อุตสาหกรรมยานยนต์และการท่องเที่ยวมีแนวโน้มชะลอตัวอย่างรุนแรง ขณะที่ผลิตผลทางการเกษตรจะได้รับความเสียหายเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่ประสบปัญหาภัยแล้ง ส่วนภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น การดูแลสุขภาพ สินค้าอุปโภคบริโภค และบริการทางการเงิน ได้รับผลกระทบน้อยกว่า การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วช่วยบรรเทาผลกระทบได้ในระดับหนึ่ง
นางกีต้า ซับบระวาล ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย กล่าวว่าการระบาดของโควิด-19 อาจกระทบต่อความพยายามของประเทศไทยที่จะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และส่งผลลบต่อความก้าวหน้าในการดำเนินการตลอด 2-3 ปีที่ ผ่านมา
“ความมั่นคงทางเศรษฐกิจเป็นประเด็นที่น่าเป็นห่วง เนื่องจากเกือบครึ่งของตลาดแรงงานได้รับผลกระทบรุนแรงอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าทั้งผู้หญิงและผู้ชายได้รับผลกระทบเท่าๆ กัน แต่ผู้หญิงมีความเสี่ยงสูงกว่าทั้งทางสังคมและทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจะบรรเทาลงได้ด้วยการมุ่งเน้นไปที่นโยบายที่ ส่งผลต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม การฟื้นตัวอย่างยั่งยืนต้องอาศัยการพัฒนาอย่าง ต่อเนื่องสู่เป้าหมายเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการสร้างงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สหประชาชาติยังคงสนับสนุนประเทศไทยในการเปลี่ยนผ่านสู่ความปกติใหม่” นางซับบระวาลกล่าว
รายงานนำเสนอว่าการใช้จ่ายของภาครัฐเป็นมาตรการที่ส่งผลมากที่สุดต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการจ้างงาน ตามด้วยการมอบเงินสนับสนุนโดยตรงให้ผู้ที่เดือดร้อนมากที่สุด และการช่วยเหลือด้าน สินเชื่อ สภาพคล่อง การลดภาษี และการเลื่อนชำระภาษีสำหรับ ผู้ประกอบการ
รวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสำนักงาน สภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่าผลการศึกษาจะเป็นข้อมูลที่สำคัญในการออกมาตรการและขับเคลื่อนนโยบายเพื่อให้ประเทศไทยฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืน
ด้าน นายเรอโน เมแยร์ ผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ประจำประเทศไทย กล่าวว่าโควิดส่งผลหนักที่สุดต่อประชาชนกลุ่มที่เปราะบางมากที่สุด และยิ่งเน้นย้ำความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่ในสังคม กลุ่มเปราะบาง
เช่น ผู้พิการ กลุ่ม LGBTI และสมาชิกชาติพันธุ์ต่างๆ กำลังได้รับผลกระทบรุนแรง นอกจากนี้กลุ่มผู้หญิงจะมีความเสี่ยงสูงต่อการว่างงาน เพราะบางส่วนอยู่ในภาคอุตสาหกรรมที่กระทบหนักที่สุด เช่น การท่องเที่ยว
ขณะที่แรงงานนอกระบบก็ได้รับผลกระทบรุนแรงเช่นกัน เนื่องจากกลุ่มนี้ไม่ได้อยู่ในประกันสังคม และไม่สามารถได้รับสิทธิ์ต่างๆ ในที่ทำงาน เช่น เงินอุดหนุนช่วยเหลือค่าจ้าง การลากิจ หรือลาป่วย ทั้งหมดนี้ล้วนต้องการมาตรการเยียวยาที่ตรงเป้าหมาย
นายโธมัส ดาวิน ผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า “ในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ การช่วยเหลือโดยตรงกับครอบครัวกลุ่ม เปราะบางและแรงงานนอกระบบเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้การช่วยให้ธุรกิจอยู่รอดและประสบความสำเร็จ นโยบายที่ออกมาควรมีมาตรการที่เล็งผลระยะยาวเพื่อเสริมสร้างระบบการคุ้มครองทางสังคมโดยไม่มีใครต้องคอยกังวลว่าสิ้นเดือนจะพอกินหรือไม่”